วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Lifestye

Lifestye

4Cs +Value

คนที่รักรถเก่า มีหลายวัย การใช้ชีวิตที่ต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็น คนที่ค่อนข้างมีอายุ และมีฐานะ มีความสนใจใส่ในในเรื่องของความเก่าแก่ และคุณค่าของรถคลาสสิค ตราสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเลือกซื้อรถ ผู้บริโภครถคลาสสิคนั้นส่วนใหญ่จะนำรถเกาหล่านี้ มาแต่งใหม่ทำใหม่ให้มีความสวยงาม การได้เข้าสังคมและการยอมรับของกลุ่มคนที่รักรถคลาสสิค เป็นสิ่งที่คนในกลุ่มนี้มีความสุขที่ได้พูดคุยสนทนา เกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ






จากการศึกษา จะพบวาผู้บริโภค แบ่งเป็น 2 กลุ่ม

ผู้บริโภครถเก่ากลุ่มแรกจัดอยู่ในกลุ่ม Mainstreamers รถที่ขับจะเป็นรถที่มีชื่อเสียงคุ้นเคย คุ้มค่าสมราคา










ผู้บริโภคกลุ่มที่สองจัดอยู๋ในกลุ่ม Aspirers รถที่ขับจะเป็นรถเก่าที่ดูดี มีระดับ มีความโดดเด่น














คนรักรถเก่าส่วนใหญ่มักอยู๋กันเป็นหมู่คณะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ มีการเอารถเก่ามาโชว์กัน มีการจัดโชว์รถ แข่งรถเก่า แข่งรถสวย


พิพิธภัณฑ์รถโบราณ

พิพิธภัณฑ์รถโบราณ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม




จะเห็นได้ว่ารถคลาสสิคที่ไม่ค่อยมีคนขับกันแล้ว ก็ได้มีการเก็บเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ ทำให้เด็กรุ่นหลังๆ ได้มีโอกาสได้เห็น รถเก่าๆ ได้เห็นถึงอดีด การพัฒนารถตั้งแต่อดีดจนถึงปัจจุบัน

Demography

ประชากรศาสตร์


มีรายได้ประมาณ 30,000 - 100,000 บาท
เป็นกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่อยู่ใน กลุ่ม Gen-B หรือ Boomer Generation เป็นกลุ่มที่มีกำลัง ซื้อและมีศักยภาพในการบริโภคสินค้า
ซึ่งหมายถึงเป็นผู้บริโภคที่มีอายุอายุระหว่าง 40 -63 ปี

คนส่วนใหญ่จะเป็น เพศชาย ที่ชอบรถ คลาสสิค ตัวอย่างเช่น





คุณบุญฤทธิ์ จุลละทรัพย์ ส่วนคุญบุญฤทธิ์นั้นกลับกล่าวว่าประเภทของรถนั้นเป็นการยากไม่สามารถแบ่งเจาะจงลงไปได้ว่ารถคันนี้เป็นประเภทไหน เพราะบางคันอาจเป็นได้ทั้งรถโบราณและรถคลาสสิก “ผมคิดว่าการแบ่งประเภทรถด้วยปีที่ผลิตนั้นก็เป็นการจำแนกแบบหนึ่ง แต่ถ้าดูกันจริงๆแล้วรถโบราณกับรถคลาสสิกนั้นแตกต่างกันที่ลักษณะนั่นก็คือ รถโบราณจะมีคุณค่าที่อายุของรถและสภาพ ส่วนรถคลาสสิกนั้นไม่ได้ดูที่ความเก่าเพียงอย่างเดียวรถที่ออกมาใหม่ก็สามารถเป็นรถคลาสสิกได้ เพราะโดยความหมายที่แท้จงนั้นรถคลาสสิกคือรถที่มีเอกลักษณ์ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นที่ผลิตน้อยคัน หรือจุดเด่นที่ตัวถัง” ทว่าใครจะชื่นชอบรถประเภทไหนก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่นักสะสมรถโบราณปฎิเสธไม่ได้เลยว่ารถทุกคันมันมีเสน่ห์อยู่ในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่ละเอียดอ่อน เน้นความสง่างาม ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นจะทำด้วยมือ ทำให้เราได้เห็นถึงวิทยาการในสมัยนั้น ขณะที่ในปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับสมรรถนะของรถมากกว่า สำหรับรถโบราณสมัยก่อนวิ่งเต็มที่ได้เร็วแค่ 30-40 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้นเอง เหนืออื่นใดคนที่เล่นรถโบราณ ต้องมีใจรัก ถ้าไม่รักก็อย่าทำ เพราะรถพวกนี้ต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างมาก นอกเหนือจากปัจจัยทางด้านการเงิน






คันนี้ MG TA 1939 ของคุณบุญฤทธิ์ จุลละทรัพย์ นักสะสมรถโบราณและในฐานะประธานชมรมรถเบนซ์คลาสสิกแห่งประเทศไทย ซึ่งมีเพียง 2 คันในประเทศไทยเท่านั้น




ส่วนคันนี้ Bentley Hooper Saloon 1952 คันนี้เคยเป็นรถของท่านนายกรัฐมนตรีจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม








คุณ บุญชัย แสงเพ็ชรศิริพันธ์ เรื่องของรถยนต์ ปัจจุบันกระแสความนิยมรถยนต์โบราณ มีแต่ทวีสูงขึ้น ประการแรกมาจากคุณค่าของตัวรถยนต์ในฐานะที่เป็นโบราณวัตถุ ประการที่สองเป็นความแข็งแรงและสวยงามของตัวรถยนต์ ความคงทนของวัสดุที่นำมาผลิตและความสวยงามคลาสิคของรูปทรง มีความล้ำยุค ราวกับวิศกรเดินทางมาจากโลกอนาคต และประการสุดท้าย จำนวนรถยนต์โบราณสภาพสมบูรณ์ในปัจจุบันนี้มีจำนวนน้อยคัน ทำให้รถยนต์คลาสิคหลายยี่ห้อหลายรุ่นกลายเป็นของหายาก ผู้ครอบครองมีความภูมิใจ หวงแหน ทำให้กระแสความต้องการแสวงหา ไต่เพดานเป็นกราฟที่มีแต่จะชี้ขึ้น ผมเองเป็นคนที่ชอบรถโบราณ ชอบตั้งแต่รถจักรยาน จักรยานยนต์ และรถยนต์ เคยมีรถยนต์โบราณหลายคัน ปัจจุบันก็ยังสะสมรถโบราณ เวลาไปพบรถยนต์โบราณที่ไหน ผมเป็นต้องหยุดดู ไม่ได้เป็นเจ้าของก็ขอให้ได้ชื่นชม เมื่อตระเวนไปในจังหวัดต่างๆก็พบว่าประเทศไทยเรายังมีรถยนต์โบราณคลาสิคอยู่จำนวนไม่น้อย ที่น่าปลื้มก็คือเจ้าของหลายๆท่านเป็นคนหนุ่มคนสาวหรือคนรุ่นใหม่ บนแผงหนังสือหรือร้านขายหนังสือดังๆ เราจะพบนิตยสารรถยนต์หลายฉบับ แต่ก็น่าแปลกที่นิตยสารรถยนต์ เกือบทุกฉบับ มีคอลัมน์รถยนต์โบราณน้อยมาก เมื่อนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ผมก็พบว่าเว็บไซต์รถยนต์โบราณที่เป็นภาษาไทย หรือเว็บไซต์ภาษาไทยที่เขียนบทความเกี่ยวกับ Classic cars ยังมีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นเว็บไซต์ฟอรั่มที่ให้คนเข้าไปตั้งกระทู้ซื้อขายรถกัน

สถานที่จัดงาน รวมพลคนรักรถเก่า

สถานที่ส่วนใหญ่มักจัดในสถานที่ ที่มีความเก่าแก่ บรรยากาสเป็นกันเอง ตัวอย่างเช่น บางแสนถือว่าเป็นเมืองตากอากาศที่ยังมีบรรยากาศย้อนยุค และมีระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก มีความเหมาะสมลงตัวทุกประการสำหรับการจัดรวมพลคนรักรถเก่าคลาสสิค อย่างเช่น งาน





Bangsaen Thailand Speed Festival







เพิ่มรูปภาพ



Bangsaen Classic Automobile Festival 2010


ไม่ใช้แค่เมืองไทยนะครับที่จัดงานรถคลาสสิค ที่ต่างประเทศก็มีการจัดเหมือนกันครับ









Concorso d'Eléganza Villa d'Este 2009

















วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ข้อมูลเพิ่มเติม

www.thaiclassiccar.com

www.bangkokclassiccar.com

การดูแลสีรถยนต์ที่ถูกวิธี

บ่อเกิดที่ทำให้สีไม่เงาและวิธีที่ถูกต้องครับ

1. การล้างไม่ถูกวิธี การล้างรถยนต์ไม่เหมือนการล้างถ้วยชาม การล้างรถยนต์ถือ เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง คือ วิธีการล้างรถยนต์นั้นหากรถยนต์เลอะฝุ่นมากต้องใช้น้ำแรงฉีดฝุ่น นั้นออกให้หมดไปจากผิวสี แล้วจึงใช้ฟองน้ำชุบแชมพูล้างตั้งแต่ด้านบนลงด้านล่าง หากไม่ ทำตามขั้นตอนดังกล่าว ฝุ่นที่ติดอยู่ตามพื้นผิวรถยนต์ก็จะเปรียบเสมือนกระดาษทรายที่ถูลงบนผิวสีทำให้เกิดรอยขนแมวได้

2. การเช็ดแห้งที่ไม่ถูกวิธี เมื่อล้างรถเสร็จแล้วก็จะต้องเช็ดน้ำที่เปียกออกให้หมด คนทั่วไปมักใช้ผ้าขนหนู หรือตามปั๊มน้ำมันต่างๆ ก็ใช้ผ้าขนหนูในการเช็ดแห้ง ซึ่งเป็นวิธีที่ก่อให้เกิดรอยขนแมวขึ้นกับผิวสีได้เช่นกัน เนื่องจากเมื่อผ้าขนหนูที่ผ่านการใช้งานไปได้สัก ระยะหนึ่งตัวเนื้อผ้าจะมีความแข็งมากทดสอบได้จากหากลองเอาผ้าขนหนูที่แห้งมาลองถูที่แขนจะพบว่าแสบเนื่องจากถูกผ้าขนหนูขีดข่วน ดังนั้นการเช็ดแห้งรถยนต์ก็ควรใช้ผ้าชามัว อาจเป็นแบบหนังแท้หรือสังเคราะห์ก็ได้ และในการเก็บรักษาผ้าชามัว ต้องเก็บในลักษณะเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาสภาพความนิ่มของหนังชามัว

3. การเช็ดรถ เจ้าของรถบางคนรักษารถไม่ถูกวิธีเช็ดรถทุกวัน การเช็ดรถโดยที่ ไม่มีการใช้น้ำแรงฉีดเอาฝุ่นออกก่อนก็เปรียบเสมือนเอากระดาษทรายไปถูรถทำให้สีรถเกิด รอยขนแมวและในที่สุดก็จะไม่เหลือความเงางาม

4. การปัดฝุ่น การปัดฝุ่นก็ถือเป็นสิ่งที่ต้องห้ามอีกเช่นกันด้วยเหตุผลเดียวกับการเช็ดรถ เนื่องจากฝุ่นที่ติดอยู่ที่ผิวสีจะถูกลากไปพร้อมกับไม้ปัดทำให้ฝุ่นละออกถูไถไปกับสี รถยนต์ซึ่งก่อให้เกิดรอยขนแมวอีกเช่นเดียวกันการดูแลสีรถยนต์นั้น หากเราดูแลอย่างถูกวิธีแล้วรถที่เรารักก็จะมีสภาพเหมือนวันแรก ที่ขับออกมาจากศูนย์จำหน่าย แต่ในทางกลับกันหากดูแลอย่างผิดวิธี เพียงไม่กี่ปี หรืออาจจะไม่ถึงปีรถป้ายแดงอาจมีสภาพสีที่แย่กว่ารถที่มีอายุสิบปีที่ดูแลสีอย่างถูกวิธี

การเก็บรักษารถให้ดูใหม่อยู่เสมอ

การเก็บรักษา

เมื่อรถมีราคาค่าตัวสูง บวกกับเป็นรถที่หายาก การเก็บรักษาจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ที่จะสร้างบ้านให้มันพิเศษหน่อย อย่างเช่นถ้ามีโรงรถอยู่แล้ว ก็ต่อเติมเป็นห้องกระจก พื้นปูกระเบื้อง ซึ่งราคาไม่แพงมากนัก ประมาณไม่กี่หมื่นบาท จริง ๆ แล้วการลงทุนแค่นี้เปรียบเทียบกับคุณค่ารถแล้วไม่แพงเลย นอกจากนี้ก็มีเครื่องดูดความชื้น ไม่จำเป็นต้องติดแอร์ให้สิ้นเปลือง เครื่องดูดความชื้นจะทำให้ห้องแห้ง สีจะไม่บวม อยู่ได้นาน

นอกจากเก็บไว้โรงรถที่ตกแต่งให้สมกับคุณค่าของมันแล้ว ก็ควรที่จะนำรถออกไปขับบ้าง หรือสตาร์เครื่องนิดหน่อย มีการใช้เบรค จะทำสองอาทิตย์ครั้งก็ได้ แต่ถ้ามีเวลาสัปดาห์ละครั้งจะดีมากเลย แต่ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่จะติดแอร์ก็ได้ไม่ว่ากัน เนื่องจากรถราคาแพง ๆ หลายสิบล้านบาท อย่างเฟอร์รารี่ เจ้าของรถจะเก็บไว้โรงรถที่ติดแอร์อย่างเรียบร้อย เพื่อรักษาสีไม่ให้มันจืดจางตามกาลเวลา

สำหรับเรื่องอะไรของรถโบราณนั้น ค่อนข้างจะหายากเหมือนกับตัวรถ แต่ส่วนใหญ่นักสะสมจะสั่งจากต่างประเทศโดยตรง จะมีหนังสือสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ถ้าต้องการอะไรก็สั่งตรงจากต่างประเทศเลยหรือไม่ก็เปิดดูจากอินเทอร์เน็ต แต่ราคาค่อนข้างแพง เพราะส่วนใหญ่อะไหล่รถเก่าจะหายาก ถ้าโชคดีก็จะมีบางรุ่นที่ใช้แทนกันได้ หรือไม่ก็ไปหาซื้อที่วรจักร ร้านขายอะไหล่รถ เป็นต้น

การเลือกซื้อรถเก่า

การเลือกซื้อรถเก่า สำหรับพวกคอretro ทั้งหลาย จะได้ไม่โดนย้อมแมวกันนะครับ

1. ดูตัวถัง bodyรถสวยไม่สวยดูภายนอกรอบคัน ก็พอบอกได้ แต่จะดูให้ถึงว่าเคยชนมาหนัก ๆ มั๊ย ก็ต้อง- เปิดฝากระโปรงหน้ามาดูคานหน้า คานรถทุกคันจะมีรู กลมบ้าง เหลี่ยมบางแล้วแต่ ถ้ารูเบี้ยว ไม่คมก็แสดงว่ามีโดนมา

- ป้ายทะเบียนรถยับมีรอยดัด ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเคยโดนมา แผ่น plate ที่แปะติดคานมา มีรอยยับหรือดัดมาก็เช่นกัน

- สันด้านข้างตะเข็บความนูนเสมอกันหรือไม่ รอยอ๊าค จากโรงงานกับอู่เคาะพ่นสีก็ต่างกัน

- สำหรับด้านหลัง ก็เปิดฝากระโปรงดูเช่นกัน ไฟท้ายทั้ง 2 ดวงเสมอเบ้าหรือไม่ รอยแยกต่อชิ้นเว้นช่องไฟเท่ากันเปล่ามีเบี้ยวมีเกยกันมั๊ย คานหลังก็ใช้ลักษณะการสังเกตุเหมือนคานหน้าเพียงแต่ต้องลื้อพรมปูท้ายรถออก เพื่อให้เห็นพื้น

- พื้นรถด้านหลังโดยมากจะเป็นรอน ๆ ก็สังเกตุดูว่าเท่ากันหรือเปล่า รถบางคันโดนชนหลังมาช่างเคาะทำดีมากดูแทบไม่ออก มาเสียอีตอนน้ำเข้าตรงไฟท้ายเข้าได้แต่ออกไม่ได้ซะด้วยสิ ต้องเช็ด มีบางคันเศษกระจกหลังยังอยู่ให้เห็นเลยครับ

- ส่วนด้านข้าง ก็ดูเทียบสี จากโรงงานสีเดิม กับอู่สี สีจะเพี้ยนนิดหน่อยแต่ก็พอเห็น ผมใช้วิธีเคาะ ด้วยมะเหง็กของเรานี่แหละ เคาะรอบคันเลยรถ ที่ทำสีมาแล้วเสียงจะทึบ ๆ หน่อย ชิ้นที่สีเดิมจะมีเสียงโปร่ง ๆ หน่อยฟังดีดี จะรู้ถึงความต่าง อันนี้ไม่ยาก

- รถที่เคยหงายตะแคงล้อชี้ฟ้า ก็ดูหลังคารถเคาะ ๆ ดู สังเกตุขอบคิ้วกระจกหน้าหลัง เหมือนกันเปล่ามีรอยแตกของสีโป๊วมั๊ย หลังคาสีสดสวยกว่าประตูข้างมั๊ย

2. เครื่อง + ช่วงล่าง + เกียร์- เครื่อง ถ้าเครื่องมีปัญหา หรือ หลวม จะเป็นอย่างนี้ เสียงดัง ไม่นิ่งรอบสูงบ้างต่ำบ้าง เวลาเครื่องร้อนเรา ก็ดูก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมา จะมีควันพุ่งออกมา หรือ น้ำมันเครื่องจะกระเซ็นกระสายเป็นละอองออกมาเอามือไปอัง ๆ ดูก็ได้

- เกียร์ ชุดส่งกำลัง คลัชต์ ถ้าเข้าเกียร์ ออกตัวแล้วสั่น แหงก ๆ กระตุก ๆ เข้าเกียร์ก็ยาก นั่นแหละมีปัญหา วิ่งๆ ไปมีเสียงประสาน หอนแหวกอากาศมาเข้าหูเรา เวลาเข้าเกียร์ว่าง รถจอดนิ่งๆ ไม่ดังก็นั่นแหละ เกียร์ไปแล้ว เกียร์ auto ก่อนเข้าเกียร์เหยียบเบรคคาไว้ เข้าเกียร์ตำแหน่ง D ไม่กระตุกกระชากก็พอได้เปราะหนึ่ง เข้าตำแหน่งเดิม N แล้วไป R ก็ไม่มีอาการอะไรก็แสดงว่าผ่านไปได้แล้ว 70 % มาลองวิ่งดูว่าเกียร์ทำงานทุกเกียร์เปล่า ไม่ใช่เปลี่ยนแค่ 2 เกียร์อันนี้เสร็จแน่ ออกตัวก็เช่นกัน ออกตัวดีมั๊ย ถ้าต้องรอสักพักถึงเคลื่อนตัวได้แสดงว่ามันจะแย่อยู่นะ

- ช่วงล่าง เวลาขับไปเจอฝาท่อ เจอถนนคอนกรีตที่กร่อน มีหลุม บ่อเล็กๆ ลุยเข้าไปเลย เดี๋ยวเสียงกรุ กระ จะปรากฏถ้าไม่แน่น หรือ อาจสะท้านมาถึงพวงมาลัยเลยก็มี

3. ภายในห้องโดยสาร- กลิ่น ถ้าเปิดรถปุ๊บ สิ่งแรกที่กระทบจมูกโด่ง ๆ ของเราคือกลิ่นอับ ๆ ชื้น ๆ แสดงว่าน้ำเข้ารถ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เอายางปูพื้นออก ดูว่าพื้นพรมมีรอยชื้นของน้ำเปล่า ดูหมดทั้ง 4 จุด

- ดูความเรียบร้อย คอนโซล แตกมั๊ย ช่องแอร์สมบูรณ์เปล่า

- แอร์ เปิดแอร์ เบอร์ 1-4 เลยมันไล่ระดับความแรงหรือเปล่า แรงลมสำคัญจะบอกได้ว่าตันหรือเปล่า เปิดทิ้งไว้แล้วออกไปเดินดูรอบ ๆ รถ 5-6 ชั่วโมง ไม่ใช่ 5นาทีพอ แล้วเดินเข้าไปในรถก็จะรู้ว่าฉ่ำ หรือ ไม่ฉ่ำ มีเสียงอะไรดังผิดปรกติหรือเปล่าแอร์ตัดตามปกติมั๊ย ก็เท่านั้น

ที่มา : เว็บไซต์ 100homecar.com

Mini

รถมินิ (อังกฤษ: Mini) คือรถขนาดเล็กที่ผลิตขึ้นโดยบริติชมอเตอร์คอร์ปอเรชัน (บีเอ็มซี) ประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 จนกระทั่ง 2000 เป็นรถที่โด่งดังที่สุดที่ผลิตโดยชาวอังกฤษ ต่อมาเข้าแทนที่โดยรถนิวมินิ ที่ออกมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 โดยบีเอ็มดับบลิว บริษัทแม่ในปัจจุบันของ บีเอ็มซี

รถมินิแบบดั้งเดิมถือเป็นสัญลักษณ์ในยุคทศวรรษ 1960 เป็นรถประหยัดพื้นที่ ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า (ที่ 80% ของพื้นที่เป็นพื้นที่ของการโดยสารและกระเป๋า) ยังมีอิทธิพลต่อการผลิตรถในรุ่นต่อมา ในบางครั้งยังได้รับการพิจารณาว่าเทียบเท่ากับรถเยอรมันอย่าง รถเต่าโฟล์กสวาเกน ที่ได้รับความแพร่หลายในอเมริกาเหนือ

ลักษณะเด่นคือมี 2 ประตู ออกแบบโดย เซอร์ อเล็ก อิซซิโกนิส มีการผลิตที่โรงงานในลองบริดจ์และคาวลีย์ ในสหราชอาณาจักร , โรงงานในวิกตอเรียปาร์ก/เซ็ตแลนด์ ของ บริติชมอเตอร์คอโปเรชัน (ออสเตรเลีย) ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย และต่อมาในสเปน (Authi), เบลเยี่ยม, ชิลี, อิตาลี ,โปรตุเกส, แอฟริกาใต้ ,อุรุกวัย, เวเนซูเอลา และยูโกสลาเวีย

รถมินิมาร์กวัน ต่อมามีรุ่น มาร์กทู, คลับแมน และมาร์กทรี ในนี้ยังมีรูปแบบที่หลากหลายเช่น รถโดยสาร รถบรรทุก รถแวน และมินิโม้ก (ที่มีรูปแบบเหมือนรถจี๊ป) ส่วนรถมินิคูเปอร์และคูเปอร์ "เอส" เป็นรถที่ดูสปอร์ตและประสบความสำเร็จในฐานะรถแรลลี่ ที่ชนะในการแข่งเซอร์กิตเดอโมนาโก ที่มอนเตการ์โล มาแล้วถึง 3 ครั้ง



มินิมาร์กวัน : 1959-67



เดือนเมษายน 1959 มินิรุ่นแรกได้ออกสู่สาธารณชนเป็นการแนะนำสู่สื่อ ต่อมาเดือนสิงหาคม ก็ได้มีการผลิตออกมาหลายพันคันสำหรับการขาย คำว่า "มินิ" ยังไม่ได้เป็นชื่อแรกที่ปรากฏในทันที โดยรุ่นแรกอยู่ภายใต้แบรนด์ของบีเอ็มซีที่ชื่อว่า ออสตินและมอร์ริส รุ่นออสตินเซเว่น (บางครั้งเขียนว่า SE7EN ในช่วงแรกที่ออก) ได้รับความนิยมสำหรับออสตินเซเว่นในยุคทศวรรษ 1920 และ 1930 ต่อมาในปี 1967 ในสหราชอาณาจักร (รวมถึงออสเตรเลีย) ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "มอริส มินิ ไมเนอร์" เพื่อให้ดูเหมือนเป็นการเล่นคำ



จนกระทั่งในปี 1962 ได้ออกรุ่น ออสติน 850 และ มอร์ริส 850 ในอเมริกาเหนือและฝรั่งเศส และในเดนมาร์กในชื่อ ออสติน พาร์ตเนอร์ (ถึงปี 1964) และมอร์ริส มาสค็อต (ถึงปี 1981) จากนั้นออสตินเซเว่นได้ออกใหม่ในชื่อออสตินมินิ บริษัทรถชาร์ปสคอมเมอร์เชียลส์ (ต่อมาใช้ชื่อ บอนด์คาร์ส) ได้ใช้ชื่อ มินิคาร์ สำหรับรถ 3 ล้อ ตั้งแต่ปี 1949 แต่อย่างไรก็ตามในทางกฎหมายก็เลี่ยงไปได้ และบีเอ็มซีใช้คำว่า "มินิ" ให้นึกถึงว่ารถมีชีวิต ในปี 1964 ระบบกันสะเทือนเปลี่ยนมาใช้ระบบการออกแบบของโมลตัน คือระบบ hydrolastic ทำให้ขับรถได้นิ่มขึ้นแต่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นรวมถึงค่าผลิตที่ตามมา จากนั้นเดือนตุลาคม 1965 การออกแบบเสริม ระบบขับเคลื่อน 4 สปีด เข้าไป ออกแบบโดย ออโตโมทีฟโปรดักส์ (เอพี)

มาร์กวันมียอดขายที่แข็งแรงขึ้นมากกว่ารุ่นไหนในยุค 1960 มียอดขายรวม 1,190,000 คัน แต่รายได้รุ่นทั่วไปต่ำกว่าที่คาดไว้ มินิไม่ได้ทำเงินตามที่ขายได้ และเป็นสิ่งจำเป็นที่จะแข่งขันกับคู่แข่ง แต่ก็มีข่าวลือว่าอาจจะเป็นความผิดพลาดของเรื่องการบัญชี กำไรมาจากรุ่นหรู ๆ และอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ที่รัดเข็มขัด กระจกประตูและวิทยุ ที่จำเป็นต่อรถรุ่นใหม่

มินิมาร์กทู : 1967-70





จากปี 1967 ถึง 1970 อิซซิโกนิซ ได้ทดลองออกแบบรถมินิที่มีรูปทรงใหม่ที่เรียกว่า 9X ที่สั้นลงและมีกำลังมากกว่ามินิ แต่เนื่องจากเรื่องการเมืองในบริติชเลย์แลนด์ (ที่ได้รวมกับบริษัทแม่บีเอ็มซี บริติชมอเตอร์โฮล์ดิงส์แอนด์เดอะเลย์แลนด์มอเตอร์คอโปเรชัน) ทำให้รถไม่ได้รับการผลิตขึ้นมา ที่จะน่าทึ่งไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า ซึ่งหลายคนคาดว่าจะมีคู่แข่งทำในทศวรรษ 1980



ตะแกรงหน้ารถของ รถมินิมาร์กทู ได้รับการออกแบบใหม่ หน้าต่างข้างใหญ่ขึ้น สิ่งเติมแต่งก็เปลี่ยนไป รถมาร์กทูผลิตขึ้นเป็นจำนวน 429,000 คัน รถมินิที่หลากหลายผลิตขึ้นใน Pamplona ในสเปน โดยบริษัท Authi ตั้งแต่ปี 1968 ส่วนใหญ่ภายใต้แบรนด์มอร์ริส
หลังจากนั้นมินิก็โด่งดังสุด ๆ หลังจากภาพยนตร์เรื่อง The Italian Job ในปี 1969 ที่มีฉากหนึ่งที่มีการแข่งรถ โดยโจรในเรื่องขับรถมินิ 3 คันลงบันไดผ่านท่อระบายน้ำบนตึก จากนั้นก็ขับมาด้านหลังของรถบัส ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกทำมาทำใหม่ในปี 2003 โดยใช้รถนิวมินิ



มาร์กทรี ไรลี เอลฟ์ ปี 1968



โวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต (Wolseley Hornet) และ ไรลี เอลฟ์ (Riley Elf) (1961-69) :เป็นมินิเวอร์ชันที่ดูหรูหราขึ้น ทั้ง 2 รุ่นมีปีกข้างที่ยาวขึ้นเล็กน้อย กระโปรงหลังใหญ่ขึ้น ที่ทำให้เหมือนรถมีฝาประตูด้านหลังเหมือนรถทั่วไป ส่วนหน้าซึ่งออกแบบตะแกรงที่มีตรายี่ห้อไว้ด้วย และยังไม่แสดงถึงการใช้สอยจากรูปลักษณ์ภายนอก ฝาครอบล้อโครเมียมมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า ออสตินและมอร์ริส มินิ ส่วนกันชนก็ทำจากโครเมี่ยม แผงหน้าปัดไม้ ไรลี เอลฟ์จะราคาแพงกว่าโวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต



คำว่า โวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต ใช้ครั้งแรกในรถสปอร์ตช่วงทศวรรษ 1930 ขณะที่ เอลฟ์ มาจากรถโบราณไรลี สไปรต์ และรถสปอร์ต ในยุค 1930 เช่นกัน



รถทั้ง 2 ชนิดออกมา 3 รุ่น เริ่มแรกเครื่องขนาด 848 ซีซี เปลี่ยนมาใช้คาบูเรตเตอร์ ในรุ่นคูเปอร์ 998 ซีซี ในมาร์กทู ในปี 1963 หน้าตาของมาร์กทรี ในปี 1966 หน้าต่างสามารถให้ลมผ่านได้ และยังซ่อนบานพับประตูก่อนที่จะเห็นในมินิทั่วไป ไรลี เอลฟ์ผลิตมาทั้งสิ้น 30,912 คัน ส่วนโวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต ผลิตมา 28,455 คัน



มอร์ริส มินิ ทราเวลเลอร์ และ ออสติน มินิ คันทรีแมน (1961–69, เฉพาะในสหราชอาณาจักร): รถโดยสาร 2 ประตูที่มีประตูหลังคู่ ทั้ง 2 รุ่นจะมีโครงรถที่ยาวขนาด 84 นิ้ว (2.14 ม.) เมื่อเทียบกับรถซาลูนที่ยาว 80.25 นิ้ว (2.04 ม.)

รุ่นที่หรูหราจะมีการตกแต่ง ใช้ไม้ตกแต่งในส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างในส่วนตัวเครื่องด้านหลัง ซึ่งทำให้รถดูใหญ่กว่ารถโดยสารมอร์ริสไมเนอร์ที่ดูเป็นรถวูดี้สไตล์อเมริกันในช่วงทศวรรษ 1950 มีการประเมินว่ามีการผลิตออสติน มินิ คันทรีแมน 108,000 คันและ มอร์ริส มินิ ทราเวลเลอร์จำนวน 99,000 คัน



มินิแวน



มินิแวน (1960-82): สามารถรับน้ำหนักได้ ¼ ตัน โครงรถออกแบบมาให้ยาวเหมือนรุ่นทราเวลเลอร์แต่ไม่มีประตูข้าง ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1960 ในอังกฤษในฐานะรถที่ราคาถูกลง เพราะเป็นรถที่ใช้ในการค้า ไม่มีภาษี รถมินิแวนได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น มินิ 95 ในปี 1978 มีน้ำหนัก 0.95 ตัน ผลิตมาทั้งสิ้น 521,494 คัน



มินิปิ๊กอัพ
มินิปิ๊กอัพ (1961-82): รถปิ๊กอัพมีขนาดความยาวตั้งแต่หัวถึงท้ายที่ 11 ฟุต สร้างบนโครงที่ยาวกว่ารถมินิแวน ที่มีส่วนท้ายเปิดโล่งสำหรับบรรทุกของและประตูท้าย โรงงานได้ระบุน้ำหนักการขนของว่าให้น้อยกว่า 1,500 ปอนด์ ด้วยน้ำมันเต็ม 6 แกลลอน



ปิ๊กอัพไม่มีตะแกรงโครเมียม ใช้เหล็กปั๊มธรรมดาที่สามารถให้อากาศไหลเวียนจากเครื่องยนต์ ปิ๊กอัพออกแบบมาให้มีความเรียบง่าย ถึงแม้ว่าโบรชัวร์จากโรงงานจะโฆษณาว่า "กับอุปกรณ์ที่ครบครัน มินิปิ๊กอัพยังมี recirculatory heater, ที่บังแดดด้านข้างของผู้โดยสาร ,เข็มขัดนิรภัย ,แผ่นกันลม , tilt tube ในราคาพิเศษ" เช่นเดียวกับมินิแวน ปิ๊กอัพเปลี่ยนชื่อในเวลาต่อมาเป็น มินิ 95 ในปี 1978 มีการผลิตมินิปิ๊กอัพทั้งสิ้น 58,179 คัน



มินิคูเปอร์และคูเปอร์เอส : 1961-2000
ผู้ชนะการแข่งขันมอนเตการ์โลในปี 1965 : รถมอร์ริสมินิคูเปอร์ ปี 1964

เพื่อนของอิซซิโกนิสที่ชื่อ จอห์น คูเปอร์ เจ้าของบริษัทคูเปอร์คาร์ และยังเป็นนักออกแบบ รวมถึงผู้สร้างรถแข่งขัน เห็นแนวโน้มของมินิ อิซซิโกนิสในตอนแรกไม่เต็มใจที่จะเห็นรถมินิในการแข่งขัน แต่หลังจากที่จอห์น คูเปอร์ได้ขอร้องทางบีเอ็มซีแล้ว ก็มีการร่วมงานกันผลิตมินิคูเปอร์ ที่มีความว่องไว ประหยัด และเป็นรถที่ไม่แพง รถออสตินมินิคูเปอร์และมอร์ริสมินิคูเปอร์ ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1961

รถมอร์ริส มินิ-ไมเนอร์ ดั้งเดิมมีขนาดเครื่องยนตร์ 848 ซีซี จนได้เพิ่มมาเป็น 997 ซีซี สามารถเร่งเครื่องจาก 34 บีเอชพี (แรงม้า) ไป 55 บีเอชพี (25 ไป 41 กิโลวัตต์) รถยังมีเครื่องปรับ ,SU carburetor, เกียร์ closer-ratio และดิสก์เบรกหน้า ซึ่งเป็นสิ่งไม่ธรรมดาในรถเล็กตอนนั้น และออกแบบให้มาผ่านกฎโฮโมโลเกชัน สำหรับรถกรุ๊ป 2 ในการแข่งขันแรลลี ต่อมารถ 997 ซีซี เปลี่ยนมาเป็น 998 ซีซีในปี 1964

มินิคูเปอร์ รุ่นที่มีพละกำลังมากขึ้น จะมีคำว่า "เอส" (S) ได้พัฒนาและออกในปี 1963 ประกอบด้วยเครื่องยนตร์ 1071 ซีซี มีดิสก์เบรกที่เสริมแรงขึ้นมา มีคูเปอร์เอสจำนวน 4,030 คัน ผลิตขึ้นมาและขายจนมีการปรับปรุงในเดือนสิงหาคม 1964 และคูเปอร์ก็ยังคงผลิตขึ้นมาเพื่อการแข่งขัน ด้วยเครื่องยนตร์ 970 ซีซีและ 1275 ซีซี ทั้งสองรุ่นเครื่องยนต์มีเสนอขายในสาธารณะ แต่เครื่องยนต์ที่เล็กกว่ากลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก รุ่น 1275 ซีซี คูเปอร์เอสผลิตออกมาจนถึงปี 1971

ยอดขายมินิคูเปอร์มียอดดังนี้ มาร์กวันคูเปอร์ ขายได้ 64,000 คันกับรุ่นเครื่องยนต์ 997 และ 998 ซีซี ; มาร์กวันคูเปอร์เอสขายได้ 19,000 คันกับรุ่นเครื่องยนต์ 970 ,971, 1071 หรือ 1275 ซีซี; มาร์กทูคูเปอร์ขายได้ 16,000 คัน กับรุ่นเครื่องยนต์ 998 ซีซี; มาร์กทูคูเปอร์เอสขายได้ 6,300 คัน กับรุ่นเครื่องยนต์ 1275 ซีซี และมาร์กทรีคูเปอร์เอส ขายได้เพียง 1,570 คัน

มินิคูเปอร์เอสได้รับชัยชนะในการแข่งขันมอนเตการ์โล ในปี 1964, 1965 และ 1967 และในปี 1966 รถมินิสามารถครองทั้งอันดับ 1 อันดับ 2 และอันดับ 3 แต่ก็ถูกปรับแพ้ไปหลังจากข้อขัดแย้งจากคณะกรรมการชาวฝรั่งเศส เนื่องจากความหลากหลายของไฟส่อง แทนที่จะใช้แทนที่จะใช้ไฟ 2 ไส้ในขณะที่มีการพูดถึงว่ารถซีตรองดีเอสที่ได้ที่หนึ่ง แต่ใช้ไฟขาวก็ยังรอดจากการปรับแพ้ไปได้ ทำให้ผู้ขับรถซีตรอง Pauli Toivonen ได้รับถ้วยไปและเขาปฏิญาณไว้ว่าจะไม่มาขับซีตรองอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทบีเอ็มซีก็ยังได้โด่งดังเพิ่มขึ้นหลังจากถูกปรับแพ้มากกว่าที่พวกเขาชนะเสียอีก แต่ถ้าไม่รวมก็ถูกปรับแพ้ ก็ถือเป็นรถประเภทเดียวในประวัติศาสตร์ที่อยู่ใน 3 อันดับแรกของการแข่งขันมอนเตการ์โล 6 ปีติดต่อกัน