รถมินิ (
อังกฤษ: Mini) คือรถขนาดเล็กที่ผลิตขึ้นโดย
บริติชมอเตอร์คอร์ปอเรชัน (บีเอ็มซี) ประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 จนกระทั่ง 2000 เป็นรถที่โด่งดังที่สุดที่ผลิตโดยชาวอังกฤษ ต่อมาเข้าแทนที่โดยรถ
นิวมินิ ที่ออกมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 โดย
บีเอ็มดับบลิว บริษัทแม่ในปัจจุบันของ บีเอ็มซี
รถมินิแบบดั้งเดิมถือเป็นสัญลักษณ์ในยุคทศวรรษ 1960 เป็นรถประหยัดพื้นที่ ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า (ที่ 80% ของพื้นที่เป็นพื้นที่ของการโดยสารและกระเป๋า) ยังมีอิทธิพลต่อการผลิตรถในรุ่นต่อมา ในบางครั้งยังได้รับการพิจารณาว่าเทียบเท่ากับรถเยอรมันอย่าง
รถเต่าโฟล์กสวาเกน ที่ได้รับความแพร่หลายในอเมริกาเหนือ
ลักษณะเด่นคือมี 2 ประตู ออกแบบโดย เซอร์
อเล็ก อิซซิโกนิส มีการผลิตที่โรงงานในลองบริดจ์และคาวลีย์ ในสหราชอาณาจักร , โรงงานในวิกตอเรียปาร์ก/เซ็ตแลนด์ ของ บริติชมอเตอร์คอโปเรชัน (ออสเตรเลีย) ที่
ซิดนีย์ ออสเตรเลีย และต่อมาใน
สเปน (Authi),
เบลเยี่ยม,
ชิลี,
อิตาลี ,
โปรตุเกส,
แอฟริกาใต้ ,
อุรุกวัย,
เวเนซูเอลา และ
ยูโกสลาเวีย รถมินิมาร์กวัน ต่อมามีรุ่น มาร์กทู, คลับแมน และมาร์กทรี ในนี้ยังมีรูปแบบที่หลากหลายเช่น รถโดยสาร
รถบรรทุก รถแวน และ
มินิโม้ก (ที่มีรูปแบบเหมือนรถ
จี๊ป) ส่วนรถมินิคูเปอร์และคูเปอร์ "เอส" เป็นรถที่ดูสปอร์ตและประสบความสำเร็จในฐานะรถแรลลี่ ที่ชนะในการแข่ง
เซอร์กิตเดอโมนาโก ที่
มอนเตการ์โล มาแล้วถึง 3 ครั้ง
มินิมาร์กวัน : 1959-67

เดือนเมษายน 1959 มินิรุ่นแรกได้ออกสู่สาธารณชนเป็นการแนะนำสู่สื่อ ต่อมาเดือนสิงหาคม ก็ได้มีการผลิตออกมาหลายพันคันสำหรับการขาย คำว่า "มินิ" ยังไม่ได้เป็นชื่อแรกที่ปรากฏในทันที โดยรุ่นแรกอยู่ภายใต้แบรนด์ของบีเอ็มซีที่ชื่อว่า ออสตินและมอร์ริส รุ่น
ออสตินเซเว่น (บางครั้งเขียนว่า SE7EN ในช่วงแรกที่ออก) ได้รับความนิยมสำหรับออสตินเซเว่นในยุคทศวรรษ 1920 และ 1930 ต่อมาในปี 1967 ในสหราชอาณาจักร (รวมถึงออสเตรเลีย) ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "มอริส มินิ ไมเนอร์" เพื่อให้ดูเหมือนเป็นการเล่นคำ
จนกระทั่งในปี 1962 ได้ออกรุ่น ออสติน 850 และ มอร์ริส 850 ในอเมริกาเหนือและฝรั่งเศส และในเดนมาร์กในชื่อ ออสติน พาร์ตเนอร์ (ถึงปี 1964) และมอร์ริส มาสค็อต (ถึงปี 1981) จากนั้นออสตินเซเว่นได้ออกใหม่ในชื่อออสตินมินิ บริษัทรถชาร์ปสคอมเมอร์เชียลส์ (ต่อมาใช้ชื่อ บอนด์คาร์ส) ได้ใช้ชื่อ มินิคาร์ สำหรับรถ 3 ล้อ ตั้งแต่ปี 1949 แต่อย่างไรก็ตามในทางกฎหมายก็เลี่ยงไปได้ และบีเอ็มซีใช้คำว่า "มินิ" ให้นึกถึงว่ารถมีชีวิต ในปี 1964 ระบบกันสะเทือนเปลี่ยนมาใช้ระบบการออกแบบของโมลตัน คือระบบ hydrolastic ทำให้ขับรถได้นิ่มขึ้นแต่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นรวมถึงค่าผลิตที่ตามมา จากนั้นเดือนตุลาคม 1965 การออกแบบเสริม ระบบขับเคลื่อน 4 สปีด เข้าไป ออกแบบโดย ออโตโมทีฟโปรดักส์ (เอพี)
มาร์กวันมียอดขายที่แข็งแรงขึ้นมากกว่ารุ่นไหนในยุค 1960 มียอดขายรวม 1,190,000 คัน แต่รายได้รุ่นทั่วไปต่ำกว่าที่คาดไว้ มินิไม่ได้ทำเงินตามที่ขายได้ และเป็นสิ่งจำเป็นที่จะแข่งขันกับคู่แข่ง แต่ก็มีข่าวลือว่าอาจจะเป็นความผิดพลาดของเรื่องการบัญชี กำไรมาจากรุ่นหรู ๆ และอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ที่รัดเข็มขัด กระจกประตูและ
วิทยุ ที่จำเป็นต่อรถรุ่นใหม่
มินิมาร์กทู : 1967-70

จากปี 1967 ถึง 1970 อิซซิโกนิซ ได้ทดลองออกแบบรถมินิที่มีรูปทรงใหม่ที่เรียกว่า 9X ที่สั้นลงและมีกำลังมากกว่ามินิ แต่เนื่องจากเรื่องการเมืองในบริติชเลย์แลนด์ (ที่ได้รวมกับบริษัทแม่บีเอ็มซี บริติชมอเตอร์โฮล์ดิงส์แอนด์เดอะเลย์แลนด์มอเตอร์คอโปเรชัน) ทำให้รถไม่ได้รับการผลิตขึ้นมา ที่จะน่าทึ่งไปด้วย
เทคโนโลยีล้ำหน้า ซึ่งหลายคนคาดว่าจะมีคู่แข่งทำในทศวรรษ 1980
ตะแกรงหน้ารถของ รถมินิมาร์กทู ได้รับการออกแบบใหม่ หน้าต่างข้างใหญ่ขึ้น สิ่งเติมแต่งก็เปลี่ยนไป รถมาร์กทูผลิตขึ้นเป็นจำนวน 429,000 คัน รถมินิที่หลากหลายผลิตขึ้นใน Pamplona ในสเปน โดยบริษัท Authi ตั้งแต่ปี 1968 ส่วนใหญ่ภายใต้แบรนด์มอร์ริส
หลังจากนั้นมินิก็โด่งดังสุด ๆ หลังจากภาพยนตร์เรื่อง The Italian Job ในปี 1969 ที่มีฉากหนึ่งที่มีการแข่งรถ โดยโจรในเรื่องขับรถมินิ 3 คันลง
บันไดผ่านท่อระบายน้ำบนตึก จากนั้นก็ขับมาด้านหลังของรถบัส ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกทำมาทำใหม่ในปี 2003 โดยใช้รถ
นิวมินิมาร์กทรี ไรลี เอลฟ์ ปี 1968

โวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต (Wolseley Hornet) และ ไรลี เอลฟ์ (Riley Elf) (1961-69) :เป็นมินิเวอร์ชันที่ดูหรูหราขึ้น ทั้ง 2 รุ่นมีปีกข้างที่ยาวขึ้นเล็กน้อย กระโปรงหลังใหญ่ขึ้น ที่ทำให้เหมือนรถมีฝาประตูด้านหลังเหมือนรถทั่วไป ส่วนหน้าซึ่งออกแบบตะแกรงที่มีตรายี่ห้อไว้ด้วย และยังไม่แสดงถึงการใช้สอยจากรูปลักษณ์ภายนอก ฝาครอบล้อโครเมียมมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า ออสตินและมอร์ริส มินิ ส่วนกันชนก็ทำจาก
โครเมี่ยม แผงหน้าปัดไม้ ไรลี เอลฟ์จะราคาแพงกว่าโวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต
คำว่า โวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต ใช้ครั้งแรกในรถสปอร์ตช่วงทศวรรษ 1930 ขณะที่ เอลฟ์ มาจากรถโบราณไรลี สไปรต์ และรถสปอร์ต ในยุค 1930 เช่นกัน
รถทั้ง 2 ชนิดออกมา 3 รุ่น เริ่มแรกเครื่องขนาด 848 ซีซี เปลี่ยนมาใช้คาบูเรตเตอร์ ในรุ่นคูเปอร์ 998 ซีซี ในมาร์กทู ในปี 1963 หน้าตาของมาร์กทรี ในปี 1966 หน้าต่างสามารถให้
ลมผ่านได้ และยังซ่อนบานพับประตูก่อนที่จะเห็นในมินิทั่วไป ไรลี เอลฟ์ผลิตมาทั้งสิ้น 30,912 คัน ส่วนโวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต ผลิตมา 28,455 คัน
มอร์ริส มินิ ทราเวลเลอร์ และ ออสติน มินิ คันทรีแมน (1961–69, เฉพาะในสหราชอาณาจักร): รถโดยสาร 2 ประตูที่มีประตูหลังคู่ ทั้ง 2 รุ่นจะมีโครงรถที่ยาวขนาด 84 นิ้ว (2.14 ม.) เมื่อเทียบกับ
รถซาลูนที่ยาว 80.25 นิ้ว (2.04 ม.)
รุ่นที่หรูหราจะมีการตกแต่ง ใช้ไม้ตกแต่งในส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างในส่วนตัวเครื่องด้านหลัง ซึ่งทำให้รถดูใหญ่กว่ารถโดยสารมอร์ริสไมเนอร์ที่ดูเป็นรถ
วูดี้สไตล์อเมริกันในช่วงทศวรรษ 1950 มีการประเมินว่ามีการผลิตออสติน มินิ คันทรีแมน 108,000 คันและ มอร์ริส มินิ ทราเวลเลอร์จำนวน 99,000 คัน
มินิแวน

มินิแวน (1960-82): สามารถรับน้ำหนักได้ ¼ ตัน โครงรถออกแบบมาให้ยาวเหมือนรุ่นทราเวลเลอร์แต่ไม่มีประตูข้าง ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1960 ในอังกฤษในฐานะรถที่ราคาถูกลง เพราะเป็นรถที่ใช้ในการค้า ไม่มี
ภาษี รถมินิแวนได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น มินิ 95 ในปี 1978 มีน้ำหนัก 0.95 ตัน ผลิตมาทั้งสิ้น 521,494 คัน
มินิปิ๊กอัพ

มินิปิ๊กอัพ (1961-82): รถปิ๊กอัพมีขนาดความยาวตั้งแต่หัวถึงท้ายที่ 11 ฟุต สร้างบนโครงที่ยาวกว่ารถมินิแวน ที่มีส่วนท้ายเปิดโล่งสำหรับบรรทุกของและประตูท้าย โรงงานได้ระบุน้ำหนักการขนของว่าให้น้อยกว่า 1,500 ปอนด์ ด้วย
น้ำมันเต็ม 6
แกลลอน ปิ๊กอัพไม่มีตะแกรงโครเมียม ใช้เหล็กปั๊มธรรมดาที่สามารถให้อากาศไหลเวียนจากเครื่องยนต์ ปิ๊กอัพออกแบบมาให้มีความเรียบง่าย ถึงแม้ว่า
โบรชัวร์จากโรงงานจะโฆษณาว่า "กับอุปกรณ์ที่ครบครัน มินิปิ๊กอัพยังมี recirculatory heater, ที่บังแดดด้านข้างของผู้โดยสาร ,
เข็มขัดนิรภัย ,แผ่นกันลม , tilt tube ในราคาพิเศษ" เช่นเดียวกับมินิแวน ปิ๊กอัพเปลี่ยนชื่อในเวลาต่อมาเป็น มินิ 95 ในปี 1978 มีการผลิตมินิปิ๊กอัพทั้งสิ้น 58,179 คัน
มินิคูเปอร์และคูเปอร์เอส : 1961-2000
ผู้ชนะการแข่งขันมอนเตการ์โลในปี 1965 : รถมอร์ริสมินิคูเปอร์ ปี 1964

เพื่อนของอิซซิโกนิสที่ชื่อ
จอห์น คูเปอร์ เจ้าของบริษัทคูเปอร์คาร์ และยังเป็นนักออกแบบ รวมถึงผู้สร้างรถแข่งขัน เห็นแนวโน้มของมินิ อิซซิโกนิสในตอนแรกไม่เต็มใจที่จะเห็นรถมินิในการแข่งขัน แต่หลังจากที่จอห์น คูเปอร์ได้ขอร้องทางบีเอ็มซีแล้ว ก็มีการร่วมงานกันผลิตมินิคูเปอร์ ที่มีความว่องไว ประหยัด และเป็นรถที่ไม่แพง รถออสตินมินิคูเปอร์และมอร์ริสมินิคูเปอร์ ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1961
รถมอร์ริส มินิ-ไมเนอร์ ดั้งเดิมมีขนาดเครื่องยนตร์ 848 ซีซี จนได้เพิ่มมาเป็น 997 ซีซี สามารถเร่งเครื่องจาก 34 บีเอชพี (แรงม้า) ไป 55 บีเอชพี (25 ไป 41 กิโลวัตต์) รถยังมีเครื่องปรับ ,SU carburetor, เกียร์ closer-ratio และดิสก์เบรกหน้า ซึ่งเป็นสิ่งไม่ธรรมดาในรถเล็กตอนนั้น และออกแบบให้มาผ่านกฎโฮโมโลเกชัน สำหรับรถกรุ๊ป 2 ในการแข่งขัน
แรลลี ต่อมารถ 997 ซีซี เปลี่ยนมาเป็น 998 ซีซีในปี 1964
มินิคูเปอร์ รุ่นที่มีพละกำลังมากขึ้น จะมีคำว่า "เอส" (S) ได้พัฒนาและออกในปี 1963 ประกอบด้วยเครื่องยนตร์ 1071 ซีซี มีดิสก์เบรกที่เสริมแรงขึ้นมา มีคูเปอร์เอสจำนวน 4,030 คัน ผลิตขึ้นมาและขายจนมีการปรับปรุงในเดือนสิงหาคม 1964 และคูเปอร์ก็ยังคงผลิตขึ้นมาเพื่อการแข่งขัน ด้วยเครื่องยนตร์ 970 ซีซีและ 1275 ซีซี ทั้งสองรุ่นเครื่องยนต์มีเสนอขายในสาธารณะ แต่เครื่องยนต์ที่เล็กกว่ากลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก รุ่น 1275 ซีซี คูเปอร์เอสผลิตออกมาจนถึงปี 1971
ยอดขายมินิคูเปอร์มียอดดังนี้ มาร์กวันคูเปอร์ ขายได้ 64,000 คันกับรุ่นเครื่องยนต์ 997 และ 998 ซีซี ; มาร์กวันคูเปอร์เอสขายได้ 19,000 คันกับรุ่นเครื่องยนต์ 970 ,971, 1071 หรือ 1275 ซีซี; มาร์กทูคูเปอร์ขายได้ 16,000 คัน กับรุ่นเครื่องยนต์ 998 ซีซี; มาร์กทูคูเปอร์เอสขายได้ 6,300 คัน กับรุ่นเครื่องยนต์ 1275 ซีซี และมาร์กทรีคูเปอร์เอส ขายได้เพียง 1,570 คัน
มินิคูเปอร์เอสได้รับชัยชนะในการแข่งขันมอนเตการ์โล ในปี 1964, 1965 และ 1967 และในปี 1966 รถมินิสามารถครองทั้งอันดับ 1 อันดับ 2 และอันดับ 3 แต่ก็ถูกปรับแพ้ไปหลังจากข้อขัดแย้งจากคณะกรรมการชาวฝรั่งเศส เนื่องจากความหลากหลายของไฟส่อง แทนที่จะใช้แทนที่จะใช้ไฟ 2 ไส้ในขณะที่มีการพูดถึงว่ารถซีตรองดีเอสที่ได้ที่หนึ่ง แต่ใช้ไฟขาวก็ยังรอดจากการปรับแพ้ไปได้ ทำให้ผู้ขับรถซีตรอง Pauli Toivonen ได้รับถ้วยไปและเขาปฏิญาณไว้ว่าจะไม่มาขับซีตรองอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทบีเอ็มซีก็ยังได้โด่งดังเพิ่มขึ้นหลังจากถูกปรับแพ้มากกว่าที่พวกเขาชนะเสียอีก แต่ถ้าไม่รวมก็ถูกปรับแพ้ ก็ถือเป็นรถประเภทเดียวในประวัติศาสตร์ที่อยู่ใน 3 อันดับแรกของการแข่งขันมอนเตการ์โล 6 ปีติดต่อกัน